การทำงานของเซลล์ประสาท
การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทภายในเซลล์
นักวิทยาศาสตร์พบว่า กระแสประสาทเคลื่อนที่ไปได้โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าเกิดขึ้นและเมื่อนักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ในสภาพปกติและขณะเกิดกระแสประสาท
จึงสรุปได้ว่าการเคลื่อนที่ของกระแสประสาท เป็นการเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ทางไฟฟ้าและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีพร้อมกันไปการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการออกซิเจนและพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย
การเคลื่อนของกระแสประสาท แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1) ระยะก่อนถูกกระตุ้น (polarization)
สารละลายภายในและภายนอกเซลล์ประสาทจะมีประจุไฟฟ้าต่างกันประมาณ -60 มิลลิโวลต์ โดยนอกเซลล์จะมีประจุไฟฟ้าบวก และสารละลายภายนอกเซลล์ส่วนใหญ่ประกอบด้วย Na+และ Cl- ส่วนภายในเซลล์มีประจุไฟฟ้าลบ เนื่องจากประกอบด้วย K+ และอินทรียสารซึ่งมีประจุลบในสภาปกติจะพบ K+ อยู่ภายในเซลล์มากกว่าภายนอก (ไม่ต่ำกว่า 25 เท่า) และพบ Na+ อยู่ภายนอกเซลล์มากกว่าภายใน (มากกว่า 10 เท่า) แสดงว่าเยื่อหุ้มเซลล์จะดึง K+ เข้ามาภายในเซลล์ และส่ง Na+ ออกนอกเซลล์ ตลอดเวลาด้วยวิธี แอกทีฟทรานสปอร์ต (active transport) เรียกขบวนการนี้ว่า โซเดียม-โพแทสเซียมปั๊ม (sodium potassium pump)
สารละลายภายในและภายนอกเซลล์ประสาทจะมีประจุไฟฟ้าต่างกันประมาณ -60 มิลลิโวลต์ โดยนอกเซลล์จะมีประจุไฟฟ้าบวก และสารละลายภายนอกเซลล์ส่วนใหญ่ประกอบด้วย Na+และ Cl- ส่วนภายในเซลล์มีประจุไฟฟ้าลบ เนื่องจากประกอบด้วย K+ และอินทรียสารซึ่งมีประจุลบในสภาปกติจะพบ K+ อยู่ภายในเซลล์มากกว่าภายนอก (ไม่ต่ำกว่า 25 เท่า) และพบ Na+ อยู่ภายนอกเซลล์มากกว่าภายใน (มากกว่า 10 เท่า) แสดงว่าเยื่อหุ้มเซลล์จะดึง K+ เข้ามาภายในเซลล์ และส่ง Na+ ออกนอกเซลล์ ตลอดเวลาด้วยวิธี แอกทีฟทรานสปอร์ต (active transport) เรียกขบวนการนี้ว่า โซเดียม-โพแทสเซียมปั๊ม (sodium potassium pump)
2) ระยะเมื่อถูกกระตุ้น (depolarization)
เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นเซลล์ประสาท จะทำให้คุณสมบัติของเยื่อหุ้มเซลล์ตรงนั้นเปลี่ยนไปชั่วคราว คือยอมให้ Na+ ภายนอกแพร่เข้าไปภายในเซลล์ได้ ผิวในของเยื่อหุ้มเซลล์ตรงที่ Na+ เข้าไปจะมีประจุบวกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนเป็ประจุบวกและผิวนอกที่สูญเสีย Na+ จะเปลี่ยนเป็นประจุลบ (การเปลี่ยนแปลงประจุนี้ใช้เวลา 1/100 วินาที)
เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นเซลล์ประสาท จะทำให้คุณสมบัติของเยื่อหุ้มเซลล์ตรงนั้นเปลี่ยนไปชั่วคราว คือยอมให้ Na+ ภายนอกแพร่เข้าไปภายในเซลล์ได้ ผิวในของเยื่อหุ้มเซลล์ตรงที่ Na+ เข้าไปจะมีประจุบวกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนเป็ประจุบวกและผิวนอกที่สูญเสีย Na+ จะเปลี่ยนเป็นประจุลบ (การเปลี่ยนแปลงประจุนี้ใช้เวลา 1/100 วินาที)
เมื่อความต่างศักย์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงจาก -60มิลลิโวลต์
เป็น +60 มิลลิโวลต์ ทันทีที่ บริเวณหนึ่งมีศักย์ไฟฟ้าต่างจากบริเวณถัดไป
จะกระตุ้นเซลล์ประสาทบริเวณถัดไปทั้ง 2 ข้าง
ให้เกิดสลับขั้วต่อไปเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้
คือสัญญาณที่แสดงถึงการเคลื่อนที่ของกระแสประสาท (nerve impulse action
potential) อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าทางเคมี
3) การกลับเข้าสู่สภาพปกติ (repolarization)
เมื่อ Na+ ผ่านเข้ามาในเซลล์ K+ ก็จะแพร่ออกจากเซลล์ทำให้ประจุไฟฟ้าที่ผิวนอกและผิวในของเยื่อหุ้มเซลล์กลับคืนสู่สภาพเดิม และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเมื่อกระแสประสาทผ่านไปแล้ว เซลล์ประสาทจะขับ Na+ ออกและดึง K+ เข้าเซลล์ด้วยกระบวนการโซเดียม – โพแทสเซียมปั๊ม เพื่อให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพปกติ สามารถนำกระแสประสาทต่อไปได้
เมื่อ Na+ ผ่านเข้ามาในเซลล์ K+ ก็จะแพร่ออกจากเซลล์ทำให้ประจุไฟฟ้าที่ผิวนอกและผิวในของเยื่อหุ้มเซลล์กลับคืนสู่สภาพเดิม และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเมื่อกระแสประสาทผ่านไปแล้ว เซลล์ประสาทจะขับ Na+ ออกและดึง K+ เข้าเซลล์ด้วยกระบวนการโซเดียม – โพแทสเซียมปั๊ม เพื่อให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพปกติ สามารถนำกระแสประสาทต่อไปได้
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในเซลล์ประสาทรวดเร็วมาก และใยประสาทชนิดที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจะนำกระแสประสาทได้รวดเร็ว
เพราะการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าจะเกิดขึ้นที่
โนดออฟเรนเวียร์เท่านั้นส่วนใยประสาทชนิดที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าจะเกิดขึ้นทุกตำแหน่ง ถัดกันไปความเร็วของกระแสประสาทยังขึ้นอยู่กับเส้นผ่านศูนย์กลางของใยประสาทด้วย
โดยทั่วไป ความเร็วของกระแสประสาทจะเพิ่มขึ้น 1 เมตรต่อวินาที
เมื่อเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 ไมครอน
ดังนั้นใยประสาทได้เร็วคือ ใยประสาทที่มีขนาดใหญ่และมีเยื่อไมอีลินหุ้ม
เซลล์ประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้มนำกระแสประสาทด้วยความเร็ว 12 เมตรต่อวินาทีส่วนเซลล์ประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มนำกระแสประสาทด้วยความเร็ว 120 เมตรต่อวินาที
การเกิดกระแสประสาท
สิ่งเร้าชนิดต่างๆ
เช่น เสียง ความร้อน
สารเคมีที่มากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึกจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกระแสประสาท
กระแสประสาทคืออะไร มีกลไกการเกิดและวิธีวัดอย่างไร เป็นที่สงสัยของนักวิทยาศาสตร์มานานแล้ว จากการวิจัยของนักสรีรวิทยาหลายท่าน โดยเฉพาะ ฮอดจ์กิน (A.L. Hodgkin) และ ฮักซเลย์ (A.F. Huxley) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี พ.ศ. 2506 ทำให้ทราบว่ากระแสประสาทเกิดได้อย่างไร โดยการนำ ไมโครอิเล็กโทรด (microelectrode) ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอกแก้วที่ดึงยาว ตรงปลายเรียวเป็นท่อขนาดเล็กมาต่อกับ มาตรวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า (cathode rayoscilloscope) จากนั้นเสียบปลายของไมโครอิเล็กโทรดเข้าไปในแอกซอนของหมึกและแตะปลายอีกข้างหนึ่งที่ด้านผิวนอกของแอกซอนของหมึก ดังภาพที่ 8-12
กระแสประสาทคืออะไร มีกลไกการเกิดและวิธีวัดอย่างไร เป็นที่สงสัยของนักวิทยาศาสตร์มานานแล้ว จากการวิจัยของนักสรีรวิทยาหลายท่าน โดยเฉพาะ ฮอดจ์กิน (A.L. Hodgkin) และ ฮักซเลย์ (A.F. Huxley) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี พ.ศ. 2506 ทำให้ทราบว่ากระแสประสาทเกิดได้อย่างไร โดยการนำ ไมโครอิเล็กโทรด (microelectrode) ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอกแก้วที่ดึงยาว ตรงปลายเรียวเป็นท่อขนาดเล็กมาต่อกับ มาตรวัดความต่างศักย์ไฟฟ้า (cathode rayoscilloscope) จากนั้นเสียบปลายของไมโครอิเล็กโทรดเข้าไปในแอกซอนของหมึกและแตะปลายอีกข้างหนึ่งที่ด้านผิวนอกของแอกซอนของหมึก ดังภาพที่ 8-12

ภาพที่ 8-12 การวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายนอกและภายในเซลล์ประสาทของหมึก
จากการทดลองสามารถวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ประสาทของหมึก
พบว่ามีค่าประมาณ -70 มิลลิโวลต์ซึ่งเป็น ศักย์เยื่อเซลล์ระยะพัก (resting
membrane potential) เยื่อหุ้มเซลล์มีโปรตีนทำหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของไอออนบางชนิดเช่น Na+ เรียกว่าช่องโซเดียม
และ K+ เรียกว่าช่องโพแทสเซียม
ขณะเซลล์ประสาทยังไม่ถูกกระตุ้น พบว่าสารละลายภายนอกเซลล์มี
สูงกว่าสารละลายภายในเซลล์
ขณะที่สารละลายภายในเซลล์มี
สูงกว่าสารละลายภายนอกเซลล์
การที่เซลล์สามารถดำรงความเข้มข้นของไอออนที่แตกต่างกันนี้เพราะอาศัยพลังงานจาก ATP
ไปดัน
ออกไปนอกเซลล์ทางช่องโซเดียม
พร้องกับดึง
เข้าไปในเซลล์ทางช่องโพแทสเซียม
ในอัตราส่วน
เรียกกระบวนการนี้ว่า โซเดียมโพแทสเซียมปั้ม (sodium-potassium
pump) ดังภาพที่ 8-13
ขณะเซลล์ประสาทยังไม่ถูกกระตุ้น พบว่าสารละลายภายนอกเซลล์มี






ภาพที่ 8-13 โซเดียมโพแทสเซียมปั้มในระยะพัก
นอกจากนี้
ซึ่งสะสมอยู่ภายในเซลล์มากกว่าภายนอกเซลล์สามารถรั่วออกมาจากเซลล์ประสาทได้บ้าง
ประกอบกับภายในเซลล์ประสาทมีสารอินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่
และไม่สามารถผ่านออกไปนอกเซลล์อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น โปรตีน
กรดนิวคลีอิกซึ่งเป็นสารที่มีประจุลบ ดังนั้นการที่
ออกนอกเซลล์ซึ่งเป็นการเอาประจุบวกออกไปด้วยและภายในเซลล์มีประจุลบของสารอินทรีย์จึงทำให้ภายในเซลล์มีผลรวมของประจุเป็นลบ


เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นเซลล์ประสาทในระดับที่เซลล์สามารถตอบสนองได้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของศักย์เยื่อเซลล์ คือทำให้ช่องโซเดียมเปิด

เมื่อ



ภาพที่ 8-14 การเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าขณะที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้น
การเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ดังกล่าวนี้เรียกว่า แอกชันโพเทนเชียล (action
potentail) หรือ กระแสประสาท (nerve impulse)การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตรงบริเวณที่ถูกกระตุ้นจะชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณถัดไป
ขณะบริเวณที่เกิดเอกชันโพเทนเชียลแล้วจะกลับสู่สภาพศักย์เยื่อเซลล์ประสาทระยะพักอีกครั้งหนึ่งเป็นเช่นนี้ไปเลื่อยๆ
มีผลให้กระแสประสาทเคลื่อนที่ไปตามความยาวของใยประสาทแบบจุดต่อจุดต่อเนื่องกันของแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
ดังภาพที่ 8-15

ภาพที่ 8-15 การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทของใยประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
-ถ้าเซลล์ประสาทไม่มีการขับ
ออกจากเซลล์และดึง
เข้าสู่เซลล์ใหม่
นักเรียนคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าการเกิดแอกชันโพเทนเชียลต้องอาศัยช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นถ้ากระต้นเซลล์ประสาทในขณะที่ยังเกิดแอกชันโพเทนเชียลอยู่ เซลล์ประสาทจะไม่ตอบสนอง กระแสประสาทจึงไม่เกิดขึ้นในระลอกใหม่
เยื่อไมอีลินเกี่ยวข้องกับความเร็วของกระแสประสาทหรือไม่อย่างไร กรณีที่ใยประสาทมีเยื่ไมอีลินหุ้ม เยื่อไมอีลินจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกั้นประจุไฟฟ้าที่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ดังนั้นแอกซอนตรงบริเวณที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจะไม่มีแอกชันโพเทนเชียลเกิดขึ้น แอกชันโพเทนเชียลจะเคลื่อนที่บริเวณโนดออฟแรนเวียร์หนึ่งไปยังอีกโนดออฟแรนเวียร์หนึ่งตลอดความยาวของใยประสาท เนื่องจางดีโพลาไรเซชันเกิดจากการเคลื่อนที่ข้าวของ
บริเวณโนดออฟแรนเวียร์
แผ่ไปยังบริเวณถัดไป
ดังนั้นการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจึงเป็นเสมือนกระโดจากโนดออฟแรนเวียร์หนึ่งไปยังอีกโนดออฟแรนเวียร์หนึ่ง
ดังภาพที่ 8-16 ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในใยประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม


นักเรียนคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าการเกิดแอกชันโพเทนเชียลต้องอาศัยช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นถ้ากระต้นเซลล์ประสาทในขณะที่ยังเกิดแอกชันโพเทนเชียลอยู่ เซลล์ประสาทจะไม่ตอบสนอง กระแสประสาทจึงไม่เกิดขึ้นในระลอกใหม่
เยื่อไมอีลินเกี่ยวข้องกับความเร็วของกระแสประสาทหรือไม่อย่างไร กรณีที่ใยประสาทมีเยื่ไมอีลินหุ้ม เยื่อไมอีลินจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกั้นประจุไฟฟ้าที่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ดังนั้นแอกซอนตรงบริเวณที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจะไม่มีแอกชันโพเทนเชียลเกิดขึ้น แอกชันโพเทนเชียลจะเคลื่อนที่บริเวณโนดออฟแรนเวียร์หนึ่งไปยังอีกโนดออฟแรนเวียร์หนึ่งตลอดความยาวของใยประสาท เนื่องจางดีโพลาไรเซชันเกิดจากการเคลื่อนที่ข้าวของ


ภาพที่ 8-16 การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทไปตามแอกซอนที่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยใดอีกบ้างที่มีผลต่อความเร็วของกระแสประสาทไปตามใยประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินนักวิทยาศาสตร์พบว่า
ความเร็วของกระแสประสาทในแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้มยังขึ้นอยู่กับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของใยประสาท
ถ้าใยประสาทมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่จะนำกระแสประสาทได้เร็วกว่าขนาดเล็ก
เพราะความต้านทานการเคลื่อนที่ของไอออนจะแปรผกผันกับพื้นที่ตัดขวางของใยประสาท
นอกจากนี้ยังพบว่าแอกซอนที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มที่มีระยะห่างของโนดออฟแรนเวียร์มากกว่า
จะมีการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทได้เร็วกว่า
เชื่องโยงกับฟิสิกส์
|
ความต้านทาน R ของเส้นลวด
หรือวัตถุ L ที่มีพื้นที่ภาคตัดขวาง A ความต้านทานจะแปรผกผันกับพื้นที่ภาคตัดขวาง
ดังสูตร R=pl/A pเป็นค่าคงตัวเรียกว่าสภาพต้านทานมีหน่วยเป็นไฮห์มเตร R มีหน่วยเป็นโอห์ม |
เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนที่ไปถึงปลายแอกซอนแล้วกระแสประสาทจะถ่ายทอดไปสู่อีกเซลล์หนึ่งได้อย่างไร
การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาท
การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาท
นักวิทยาศาสตร์ชื่อ ออทโต ลอวิ (Otto
Loewi) ได้ทำการทดลองนำหัวใจกบที่ยังมีชีวิตและยังมีเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10ติดอยู่
มาใส่ในแก้วที่มีน้ำเกลือ แล้วกระตุ้นเซลล์ประสาทดังกล่าวด้วยกระแสไฟฟ้า
พบว่าหัวใจของกบเต้นช้าลง เมื่อดูดสารละลายจากแก้วที่ 1 มาใส่ลงในแก้วที่
2 ซึ่งมีหัวใจกบที่ตัดเอาเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 ออกไป
ดังภาพที่ 8-17 พบว่าหัวใจของกบในแก้วที่ 2 มีอัตราการเต้นของหัวใจช้าลงเช่นเดียวกัน
การทดลองครั้งนี้บอกอะไรแก่เรา

ภาพที่8-17 การทดลองของออทโต ลอวิ
การทดลองครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการกระตุ้นเส้นประสาทสมองคู่ที่
10 จะทำให้เกิดการปล่อยสารบางชนิดออกมายับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
เช่นเดียวกับการกระตุ้นใยประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อนั้นโดยมีการหลั่งสารจากปลายประสาทกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว
สารที่หลั่งออกจากจากใยประสาทเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter)
ต่อมามีการค้นพบว่าที่บริเวณปลายแอกซอนมีสารดังกล่าวที่ปริมาณสูงมาก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง ปัจจุบันพบว่าสารสื่อประสาทมีหลายชนิด เช่นแอซิติลโคลีน (acetylcholine) นอร์เอพิเนฟริน (nor epinephrine) เอนดอร์ฟิน (endorphin) เป็นต้น ซึ่งจากการทดลองของออทโต ลอวิ พบว่าสารที่หลั่งออกมาขากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เมื่อกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า คือ แอซิตินโคลีนนั่นเอง
เมื่อศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พบว่าลอยต่อระหว่างเซลล์ประสาทที่เรียกว่า ไซแนปส์นั้นจะมีช่องขนาด 0.02ไมโครเมตร คั่นอยู่ ทำให้กระแสประสาทไม่สามารถข้ามผ่านไซแนปส์ได้ที่ปลายแอกซอนจะมีถุงขนาดเล็กและไมโทคอนเดรียสะสมอยู่มากภายในถุงเหล่านี้จะบรรจุสารสื่อประสาท เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนที่มาถึงปลายแอกซอน ถุงเล็กๆ ดังกล่าวจะเคลื่อนไปรวมตัวกับเยื่อหุ้มเซลล์ตรงบริเวณไซแนปส์ และปล่อยสารสื่อประสาทออกมา เพื่อกระตุ้นเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ถัดไปทำให้เซลล์ประสาทที่ถูกกระตุ้นมีกระแสประสาทเกิดขึ้นและถูกถ่ายทอดต่อไปจนถึงปลายทาง
เมื่อสารสื่อประสาทถูกปล่อยออกมาจากถุงบรรจุสารสื่อประสาทที่เยื่อหุ้มปลายแอกซอนเข้าสู่ช่องไซแนปส์ สารสื่อประสาทจะไปจับกับโปรตีนตัวรับที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ดังภาพที่ 8-18 ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของไอออนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ที่เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ และทำให้เกิดการส่งกระแสประสาทต่อไป
ต่อมามีการค้นพบว่าที่บริเวณปลายแอกซอนมีสารดังกล่าวที่ปริมาณสูงมาก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง ปัจจุบันพบว่าสารสื่อประสาทมีหลายชนิด เช่นแอซิติลโคลีน (acetylcholine) นอร์เอพิเนฟริน (nor epinephrine) เอนดอร์ฟิน (endorphin) เป็นต้น ซึ่งจากการทดลองของออทโต ลอวิ พบว่าสารที่หลั่งออกมาขากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เมื่อกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า คือ แอซิตินโคลีนนั่นเอง
เมื่อศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน พบว่าลอยต่อระหว่างเซลล์ประสาทที่เรียกว่า ไซแนปส์นั้นจะมีช่องขนาด 0.02ไมโครเมตร คั่นอยู่ ทำให้กระแสประสาทไม่สามารถข้ามผ่านไซแนปส์ได้ที่ปลายแอกซอนจะมีถุงขนาดเล็กและไมโทคอนเดรียสะสมอยู่มากภายในถุงเหล่านี้จะบรรจุสารสื่อประสาท เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนที่มาถึงปลายแอกซอน ถุงเล็กๆ ดังกล่าวจะเคลื่อนไปรวมตัวกับเยื่อหุ้มเซลล์ตรงบริเวณไซแนปส์ และปล่อยสารสื่อประสาทออกมา เพื่อกระตุ้นเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ถัดไปทำให้เซลล์ประสาทที่ถูกกระตุ้นมีกระแสประสาทเกิดขึ้นและถูกถ่ายทอดต่อไปจนถึงปลายทาง
เมื่อสารสื่อประสาทถูกปล่อยออกมาจากถุงบรรจุสารสื่อประสาทที่เยื่อหุ้มปลายแอกซอนเข้าสู่ช่องไซแนปส์ สารสื่อประสาทจะไปจับกับโปรตีนตัวรับที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ดังภาพที่ 8-18 ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของไอออนผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงความต่างศักย์ที่เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ และทำให้เกิดการส่งกระแสประสาทต่อไป

ภาพที่ 8-18 สารสื่อประสาทผ่านช่องไซแนปส์
สารสื่อประสาทที่เหลืออยู่ในช่องไซแนปส์
จะถูกสลายโดนเอนไซม์ สารที่ได้จากการสลายอาจจะนำกลับเข้าไปสร้างสารสื่อประสาทใหม่
บางส่วนกำจัดออกทางระบบเลือด
ดังนั้นเดนไดรต์จึงถูกกระตุ้นเฉพาะเวลาที่แอกซอนปล่อยสารสื่อประสาทออกมาในช่วงสั้นๆ
เท่านั้น
-ถ้าไม่มีการส่งสารสื่อประสาทจากแอกซอนของเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์จะเกิดกระแสประสาทขึ้นที่เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์หรือไม่
-ถ้าไม่มีการส่งสารสื่อประสาทจากแอกซอนของเซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์จะเกิดกระแสประสาทขึ้นที่เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์หรือไม่
-การที่สารสื่อประสาทสร้างที่ปลายแอกซอนเท่านั้นแต่ไม่สร้างที่ปลายเดนไดรต์
ลักษณะดังกล่าวจะมีผลต่อทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทอย่างไร
-นักเรียนคิดว่าการสลายตัวอย่างรวดเร็วของสารสื่อประสาทมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
ปัจจุบันพบว่ายาหลายชนิดมีผลต่อการถ่ายทอดกระแส
ประสาทที่ไซแนปส์ เช่น ยาระงับประสาททำให้สารสื่อประสาทถูกปล่อยออกมาน้อย กระแสประสาทจึงส่งไปยังสมองน้อยลงทำให้มีอาการสงบไม่วิตกกังวล สารจำพวกนิโคติน คาเฟอีนแอมเฟตามีนจะไปกระตุ้นให้แอกซอนปล่อยสารสื่อประสาทออกมามาก ทำให้เกิดการตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว สำหรับยาฆ่าแมลงบางชนิดยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่จะมาสลายสารสื่อประสาท เป็นต้น ในการณีเช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อร่างกายได้รับยาฆ่าแมลงชนิดนี้เข้าไป
ประสาทที่ไซแนปส์ เช่น ยาระงับประสาททำให้สารสื่อประสาทถูกปล่อยออกมาน้อย กระแสประสาทจึงส่งไปยังสมองน้อยลงทำให้มีอาการสงบไม่วิตกกังวล สารจำพวกนิโคติน คาเฟอีนแอมเฟตามีนจะไปกระตุ้นให้แอกซอนปล่อยสารสื่อประสาทออกมามาก ทำให้เกิดการตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว สำหรับยาฆ่าแมลงบางชนิดยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่จะมาสลายสารสื่อประสาท เป็นต้น ในการณีเช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อร่างกายได้รับยาฆ่าแมลงชนิดนี้เข้าไป